บทความโดย นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ในฐานะผู้ชายดีๆ ที่หายากคนหนึ่ง ผมรู้สึกเห็นใจสตรีเพศจริงๆ ครับ…ช่วงเวลาในการเลือกคู่ของเธอทั้งหลายช่างสั้นยิ่งนักเพราะช่วงอายุขัยของวัยสาวเริ่มผลิบานเมื่อประมาณ 13 ปีแล้วมาสุดเขตแดนเมื่อวัยสามสิบ… วันเกิดครบรอบ 30 จึงเป็นตัวเลขแห่งความสะเทือนขวัญก่อให้เกิดความตื่นตระหนก…
หลายคนไม่อยากพูดถึง คนอื่นก็ไม่ควรเอ่ยปากด้วย… ถือเป็นมารยาทสังคมอย่างหนึ่ง ยกเว้นพวกมีวาจาเป็นอาวุธ ที่ชอบถามว่า"ปาอะไรเอ่ยที่ผู้หญิงกลัวที่สุด "เฉลย " ปาเข้าไปสามสิบยังไม่มีผัว " … ใครดันถาม มันผู้นั้นสมควรตาย
ตอนเรียนหนังสือเป็นนักเรียนนักศึกษา คุณพ่อคุณแม่ก็สอนนักสอนหนาว่า " อย่าริรักในวัยเรียน " "ตั้งใจเรียนหนังสือให้ดี จบแล้วค่อยมีแฟน "ทั้งๆ ที่ไอ้ตอนเรียนหนังสือมีโอกาสพบปะเพศตรงข้ามมากหน้าหลายตา ก็หาได้สนใจไม่ เป็นคนประเภท " รักไม่ยุ่ง มุ่งแต่เรียน "ทุ่มเทชีวิตให้แก่การศึกษา…เมื่อเติบใหญ่เราจะได้มีวิชาเป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตน
หลังจบการศึกษา ประกอบสัมมาอาชีวะ ขณะเดียวกันก็ใช้เวลาว่าง"เลือกสรร - ควานหา" ผู้จะมาเป็นเจ้าบ่าวในอนาคต ตั้งสเปกว่าต้องได้แฟนหนุ่มประเภทซูเปอร์เพอร์เฟคอย่างวิลลี่ แมคอินทอชหรือจอห์นนี่ แอนโฟเน่ หรืออย่างน้อยๆก็ต้องมาดแมนแฮนซั่ม หล่อล่ำดำขรึม ถึง จะได้มาตรฐาน… ไอ้ประเภทหุ่นอัฟริกา หน้าติมอร์อย่าได้สะเออะหน้ามาให้เห็น…ไม่มีทางได้แอ้มหรอก
จากวันเป็นเดือน - จากเดือนเป็นปี ความรักไม่มีวี่แววคืบหน้าแม้วันเวลาผ่านไป… เพราะที่ทำงานทั้งห้องมีผู้ชายอยู่แค่ 5 คน -เจ้านายก็มีเมียแล้ว… ไม่อยากตกเป็นภรรยาบุญธรรม สองคนดันเป็นเกย์… อีกคนยังลังเลอยู่ว่าจะเป็นดีหรือเปล่า…คนสุดท้ายเป็นชายแท้ แต่กำลังถูกแย่งตัวระหว่างเกย์สองคนอยู่ไม่อยากเข้าไปเป็นมือที่สาม…นั่งรถมาทำงาน ก็สองชั่วโมงครึ่ง กลับอีกสองชั่วโมงสี่สิบนาที กลับถึงบ้าน หมดสิ้นกำลังขอนอนเอาแรงก่อน.........ขณะที่งีบหลับอย่างสนิท ภาพในความฝันที่เธอเห็นคือ สถาบันการศึกษาที่เธอจบมา…แหล่งที่มีเพศตรงข้ามชุกชุม เธอหวนรำลึกนึกถึงผู้ชายดีๆที่เขาเคยอุตส่าห์มาเฝ้าตามจีบ ตามง้อตามตื้อ แล้วเราเล่นตัวจนเคยตัว ในที่สุดผลประโยชน์ตกอยู่ที่เพื่อนสนิทเป็นที่เรียบร้อย…แหม ! ไม่น่าเลย ยิ่งคิดยิ่งเสียดายจริงจริ๊ง…ตื่นพอดี
เจอโลกแห่งความจริงดำเนินชีวิตไปแต่ละวัน ยิ่งเข้าหน้าหนาว ซองสีชมพูกลิ่นหอมๆ จากเพื่อนๆเริ่มทยอยมา ตามหลังซอง กฐินซองผ้าป่าที่เพิ่งหมดฤดูกาล… พอไปในงาน ดันเจอคำถามสะกิดใจอีกว่า"เมื่อไรจะถึงคิวแจกการ์ดของตัวบ้างล่ะ"..."โถ! การ์ดแต่งงานน่ะพิมพ์เสร็จแล้ว เหลือแต่ชื่อเจ้าบ่าวที่ยังไม่ได้เลือกว่าจะเป็นใครเพราะครั้งนี้เขาเปลี่ยนระบบเลือกตั้งใหม่ ยังงงๆเรื่องปาร์ตี้ลิสต์อยู่เลย" เอ๊ะ…เกี่ยวอะไรกัน!…ในใจก็คิดว่า "ก็ฉันอยู่เป็นโสดนี่มันไม่ดียังไงหนักกระบาลใครรึเปล่า"
เคยตั้งคำถามกันไหม…ว่าทำไมต้องแต่งงาน (กันด้วย!)… คำตอบจากเพื่อนๆ ที่แต่งงานแล้วหรืออยากจะแต่งงานอาจมีหลากหลาย…"อยู่คนเดียวมันว้าเหว่ อยากมีใครสักคนไว้แก้เหงา " …รายนี้เห็นผู้ชาย เป็นตัวคลายเหงา "รายได้ไม่พอใช้ หาคนช่วย (หาเงิน) " … ผมกลัวมาช่วยผลาญเงินมากกว่า"อยากมีลูก ก็ต้องหาพ่อก่อนสิ "… เกิดได้ลูกแล้วจะทิ้งพ่อรึเปล่าเนี่ยะ"โรงงานพร้อมแล้ว ขาดผู้ประกอบการ"…เจ้าของคำตอบกำลังหาผู้ร่วมลงทุนฯลฯ
อันว่า " ชีวิตคู่ " อยู่ไปเพื่อสิ่งใด ?ชีวิตคู่ คือ การเติมเต็มซึ่งกันและกัน ดังนั้นเมื่อมีชีวิตสมรสแล้ว ครึ่งหนึ่งของ ชีวิตเราจะหายไปในส่วนที่ขาดจะมีครึ่งชีวิตของอีกฝ่ายมาเติมแต่งแห่งพื้นที่ว่างนั้นขณะที่ครึ่งชีวิตของเราที่หาย ก็มิได้สูญสลายไปไหน มันก็ไปเติมที่ว่างของคู่เรานั่นเอง
จุดมุ่งหมายของการแต่งงานคือการใช้ชีวิตคู่ให้มีความสุขมากขึ้นและมีชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อเป็นสามีภรรยาแล้วต้องมีความสุขมากกว่าตอนอยู่คนเดียวถ้าตอนอยู่ด้วยกันแล้ว มีแต่ความทุกข์ ความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานก็ไม่รู้ว่า จะแต่งงานไปหาพระแสงดาบคาบค่ายที่ไหน… อยู่คนเดียวมันส์กว่า
ชีวิตคู่ต้องเกื้อกูลกันและกัน ความก้าวหน้าของสามี ภรรยาต้องมีส่วน อย่างน้อยก็ปลอบใจในยามที่สามีเครียดจากการงานชีวิตภรรยาถ้าไม่คิดเอาดี ในทางโลกก็เจริญในทางธรรมกำลังใจต้องได้จากสามีเช่นกัน อย่างน้อยก็อย่าหาทุกข์มาสุมเพิ่ม… ถ้าคู่รักของเราประกอบมิจฉาอาชีวะ ติดเหล้า เล่นการพนันโกงบ้านกินเมืองชีวิตอีกฝ่ายก็เหมือนตก นรกทั้งเป็น
เพราะฉะนั้นเวลาเลือกแฟน แทนที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องรูปร่างหน้าตาฐานะการเงิน ยี่ห้อรถเก๋งที่ใช้อยู่ ฯลฯเปลี่ยนเป็นเงื่อนไขแค่สองข้อที่จำแสนง่าย คือหนึ่ง - สุขใจยามอยู่ใกล้ชิดสอง - คู่ช่วยคิดชีวิตก้าวหน้าเพราะชีวิตคู่คือการเติมเต็มชีวิตแก่กันและกัน ไม่ต้องง้อใครให้เสียเวลาไม่เสียชาติเกิดหรอกครับ ถ้าคุณจะใช้ชีวิตเป็นโสด ถือคติประจำใจว่า "อยู่เป็นโสด ดีกว่ามีสามีเลว "
31 January 2008
บทความสำหรับคนโสด และคนที่อยากโสด
30 January 2008
'ผ่า DNA วิถีชีวิตครอบครัวไทย'
ประยุกต์ใช้ให้เกิดผลกับการตลาด การทำ Segmentation เจาะกลุ่มเป้าหมายแบบแยกย่อยละเอียดยิบ ตามความต้องการและพฤติกรรมการดำรงชีวิต (Life Style) ถือเป็นแนวทางที่นักการตลาดให้ความสำคัญมาก และนับวันจะมากยิ่งขึ้น เนื่องจากแข่งขัน และพฤติกรรมการบริโภคที่หลากหลาย ดังนั้น การวางแผนการตลาดอะไรสักอย่างหนึ่ง งานวิจัยจึงเข้ามามีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง กับการ Segmentation กลุ่มผู้บริโภค
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดย รศ.ดร.ศิริลักษณ์ โรจนะกิจอำนวย รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, รศ.ดร.วิทวัส รุ่งเรืองผล, อาจารย์วิทยา จารุวงศ์โสภณ และอาจารย์ปิติพีร์ รวมเมฆ คณาจารย์จากภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ร่วมกับทางหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ จัดทำงานวิจัยด้านวิชาการ เรื่อง "ผ่า DNA วิถีชีวิตครอบครัวไทย" ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจมาตั้งแต่กลางปี 2548 ถึงประมาณกลางปี 2549
คนโสดใช้เงินกับการพักผ่อนน้อย
เนื้อหาของงานวิจัยพูดถึง พฤติกรรมของคนไทยกับชีวิตคู่ ชีวิตโสด และการมีครอบครัว รวมทั้งพฤติกรรมการดำรงชีวิต และพฤติกรรมการใช้จ่ายของทั้งคนโสด และคนมีครอบครัว อาจารย์วิทวัส ได้พูดถึงภาพรวมจากการศึกษาเฉพาะครอบครัวที่เป็น traditional มีการพัฒนาโมเดลใหม่ โดยฐานครอบครัวไทยสามารถแยกได้เป็น 3 ช่วงหลักๆ คือ 1.ช่วงโสด อยู่คนเดียว โคจรจนกระทั่งมาเจอคู่ใจ เรียกว่า ไลฟ์พาร์ตเนอร์ จะแต่งงานกันหรือไม่ ไม่สำคัญ 2.ช่วงคู่ชีวิต เริ่มมีลูก และ 3.ช่วงครอบครัวครบครัน มีจุดเปลี่ยนหลายจุดที่ทำให้กลับมาใช้ชีวิตแบบโสดหรือคู่ชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับช่วงโสด แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 1. โสดแท้ ความสุขมาจากวัตถุล้วนๆ พออายุ 32 ปี เริ่มคิดว่าการแต่งงานไม่จำเป็น และจะเปลี่ยนจากการใช้ความสุขนอกบ้าน ย้อนกลับมาหาความสุขในบ้าน การทำงานจะเพิ่มถึงระดับ 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สังเกตได้จากผู้บริหารส่วนใหญ่จะเป็นคนโสด จำนวนเวลาในการทำงานจะเพิ่มขึ้นตามอายุ ประเภทที่ 2 คือ โสดเทียม เป็นลักษณะของคนที่แต่งงานมีลูก แต่ทำตัวเหมือนโสด ให้เวลากับครอบครัวน้อย พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ในครอบครัวที่มีลูกมากกว่า 6 ปีจะมีโสดเทียมเยอะ ความสุขที่สุดคือการที่มีชีวิตนอกบ้าน และโสดประเภทที่ 3 โสดหม้าย คนกลุ่มนี้จะเหงา ขาดที่พึ่งทางใจ ความสุขจะมาจาก ศาสนา ลูกหลานและความพอเพียง สิ่งที่อยากได้ที่สุดคือความมีสุขภาพดี
พฤติกรรมของคนโสดส่วนใหญ่ จะยึดตัวเองเป็นตัวตั้ง ตัดสินใจค่อนข้างเร็ว รักอิสระ พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของคนโสด สำหรับคนโสดในช่วงอายุ 18 - 37 ปี จะเน้นหนักไปที่สินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่ใช้จ่ายไปกับการพักผ่อนน้อยมาก ซึ่งจะสอดคล้องกับเวลาการทำงานที่เพิ่มมากขึ้น คนโสดจะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในด้านสังคมหรือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูพ่อแม่จะเพิ่มขึ้นมากกว่าในช่วงอายุอื่นๆ และค่าใช้จ่ายในเรื่องรถยนต์หรือบ้านจะสูงในช่วงอายุ 28-32 ปี
ประกัน-สุขภาพขาดดีกับกลุ่มชีวิตคู่
ส่วนช่วงชีวิตคู่ แบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกคือ ช่วงคู่รัก เพิ่งแต่งงาน เป็นช่วงเริ่มต้นของชีวิตคู่ ซึ่งจะมีทั้งการแต่งเข้าบ้านผู้ชาย หรือการแต่งออก แยกออกมาสร้างครอบครัวตามลำพัง พฤติกรรมของคู่รัก เพิ่งแต่งงาน คือ ความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น ทั้งการดูแลค่าใช้จ่ายในบ้าน ส่วนการดำรงชีวิต จะให้ความสำคัญกับการทำกิจกรรมร่วมกัน ลดกิจกรรมที่ทำคนเดียวลง คนกลุ่มนี้จะเที่ยวเยอะ เพราะยังไม่มีลูก ทัศนคติในการใช้ชีวิต จะมุ่งมั่นกับการทำงาน โดยเฉพาะผู้ชายคิดว่าตัวเองเป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องการงานที่มั่นคง ทำประกันชีวิตเพื่อลดความเสี่ยง ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ ทั้งตนเองและครอบครัว สนใจอาหารเสริม ชอบทำประกันสุขภาพ เป้าหมายในชีวิต และความสุขคือการสร้างครอบครัว ซึ่งจะหมายถึงครอบครัวของตัวเองและคู่สมรส ให้ความสำคัญต่อปัจจัยทางด้านจิตใจมากกว่าทางด้านวัตถุ
ช่วงที่ 2 คือ ช่วงคู่แท้ ผู้ที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต ช่วงคู่แท้จะไม่ต่างจากกลุ่มคู่รักมากนัก เพียงแต่จะมีอายุมากขึ้น ปลอดภาระเรื่องบุตร เพราะบุตรโตแล้ว ดังนั้นจะกลับมาใช้ชีวิตเหมือนกับคนที่เพิ่งจะแต่งงานและยังไม่มีลูก กิจกรรมจะเป็นกิจกรรมที่จะทำร่วมกัน ใช้เวลาว่างร่วมกัน กลับมาชอบท่องเที่ยวเพราะว่าปลอดภาระเรื่องบุตร โดยการไปเที่ยวจะเยอะกว่าช่วงคู่รัก เพราะว่าช่วงคู่รักยังทำงานอยู่ การออมจะออมเพื่อใช้ในบั้นปลาย ความสุขจะอยู่ที่การมีสุภาพดี การซื้อประกัน ความสุข คือ การมีชีวิตที่อบอุ่นมีลูกหลาน ซึ่งจะแตกต่างกับกลุ่มคนโสด จะให้ความสำคัญกับอิสระหรือสิ่งที่ตัวเองชอบ
ช่วงสุดท้าย คือ ช่วงครอบครัวครบครัน (พ่อ แม่ ลูก ) แยกเป็น 4ประเภท คือ ครอบครัวอบอุ่น, ครอบครัวห่างเหิน, ครอบครัวที่พ่อแม่อบอุ่นแต่ลูกห่างเหิน จะพบบ่อยเมื่อลูกย่างเข้าสู่วัยรุ่น และครอบครัวพ่อแม่ห่างเหิน แต่ลูกอบอุ่น จะพบมากตอนพ่อแม่เกษียณ จากการวิจัยพบว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเยอะ คือ ตอนมีลูก มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ผู้หญิงจะเปลี่ยนมากกว่าผู้ชาย ทั้งในเรื่องสรีระ เพราะท้อง ทำให้ร่างกายอ้วนขึ้น เป็นโอกาสของสถานลดความอ้วน หรือผู้หญิงอาจจะต้องลาออกเพื่อมาดูแลลูก และจากการวิจัยพบว่าช่วงแรกผู้หญิงจะคิดว่าจะออกจากงานมาดูแลลูกเพียงแค่4 - 5ปีก็จะกลับไปทำงานเหมือนเดิม แต่พอเอาเข้าจริงพบว่าโอกาสการกลับเข้าไปทำงานประจำเหมือนเดิมน้อยมาก ดังนั้น อาชีพเสริม จึงเป็นทางเลือกที่ดี เช่น ธุรกิจขายตรง การรับแปลเอกสาร
พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอย ในช่วงที่ลูกยังเด็กจะไม่ค่อยเที่ยว เพราะไม่สะดวก และสิ้นเปลืองมาก ธุรกิจคนกลุ่มนี้ใช้บริการน้อย คือ โรงภาพยนตร์ ส่วนธุรกิจที่ดีคือหนังแผ่น เครื่องเล่น และโฮมเธียเตอร์ เพราะผู้บริโภคต้องการใช้เวลาอยู่กับบ้าน และประหยัด ส่วนธุรกิจเสริมสวย สปา ในช่วงลูกอ่อนจะใช้บริการน้อย แต่เมื่อลูกโตขึ้นแล้วกิจกรรมเหล่านี้จะได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะมีเวลา นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนเกี่ยวกับบ้านค่อนข้างเยอะ รวมทั้งมีการออม เพิ่มหลักประกันในชีวิต ทำประกันชีวิต และเสียค่าใช้จ่ายไปกับบุตรมากขึ้น เช่น การเปิดบัญชีเพื่อการศึกษาบุตร และการหาโรงเรียนสอนภาษา โรงเรียนสอนกีฬา
ประยุกต์ใช้ผลงานวิจัยกับการตลาด
จากผลงานวิจัย แดน ศรมณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟาร์อีส ดีดีบี จำกัด (มหาชน) และ กาญจน์ ขจรบุญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการบัตรเครดิตเคทีซี ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ผลงานวิจัยกับการตลาดไว้ว่า ในงานวิจัยชิ้นนี้ มีประโยชน์กับการตลาดมาก เพราะสามารถทำให้รู้ถึง Segmentation ของครอบครัว และวิถีชีวิตคนไทยว่าเป็นอย่างไร เป็นงานวิจัยที่เฉพาะเจาะจงกับพฤติกรรมของคนไทย ช่วยให้เกิดความเข้าใจผู้บริโภคได้มากขึ้น และเป็นประตูสำคัญที่จะทำให้นักการตลาดเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคคนไทยได้
ตัวอย่างเช่นผลการวิจับพฤติกรรมคนโสด พบว่าเป็นกลุ่มที่มีกำลังการซื้อสูง การตัดสินใจอยู่ที่ตัวเอง และความสนใจในการใช้จ่าย จะมีความหลากหลายมาก โดยมีรายได้และไลฟ์สไตล์เป็นตัวกำหนด กลุ่มสินค้าที่กลุ่มคนโสดเลือกซื้อ จะมีตั้งแต่ สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อสังหาริมทรัพย์ บัตรเครดิต ซึ่ง เคทีซี ให้ความสำคัญกับกลุ่มคนโสดนี้เช่นกัน โดยศึกษาพฤติกรรมว่า กลุ่มคนโสดต้องการบัตรประเภทไหน ใช้งานอย่างไร เคทีซี จึงมีดีไซน์ของบัตรออกมาหลายรูปแบบ
อย่างไรก็ตาม ในความหลากหลายนั้น สิ่งหนึ่งที่คนโสดต้องการคือ ความเป็นเอกสิทธิ์แบบส่วนตัวที่มีความเป็นแมส (Massclusivity) ซึ่งความต้องการนี้ เกิดจากวิถีชีวิตแบบคนเมือง (Urban Life) ที่ต้องการสร้างความแตกต่างให้กับตัวเอง สร้างความเป็นเอกลักษณ์ในตัวเอง โดยสินค้าที่เลือกใช้ ไม่ใช่สินค้าแพงเลิศหรูจนจับต้องไม่ได้ แต่เป็นสินค้าคุณภาพ เช่น เครื่องเล่นเอ็มพี 3 สำหรับคนกลุ่มนี้แล้ว ธรรมดาเกินไป ต้องเป็นไอพ้อด ซึ่งจริงๆ ไอพ้อดก็คือเครื่องเล่นเอ็มพี 3 ประเภทหนึ่ง แต่เป็นอะไรที่มากกว่า ดูมีระดับ ดูมีคุณภาพกว่า เป็นต้น
ดังนั้น เงินสำหรับคนกลุ่มนี้ไม่ใช่มีไว้เพื่อหาซื้อของเพื่อความสะดวก หรือ สินค้าทั่วๆ ไปเท่านั้น แต่สิ่งที่หาซื้อมา ต้องแสดงให้คนอื่นยอมรับได้ด้วยว่า เขามีความแตกต่างไม่เหมือนอื่น มีความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งตรงนี้ เคทีซีเล็งเห็น และทำ Segmantation กับไลฟ์สไตล์เหล่านี้ของคนโสด
สำหรับการทำ Segmentation นั้น นักการตลาดทั้ง 2 มองว่า ยังมีช่องว่างอีกมากที่นักการตลาดสามารถแบ่งย่อยได้อีก เช่นเดียวกับกลุ่มใหม่ที่เกิดขึ้น อย่างกลุ่ม Massclusivity ซึ่งการสร้าง
แบรนด์ที่ถูกต้อง ต้องให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ หรือพฤติกรรมการดำรงชีวิต แล้วจับเอาจุดยืนของแบรนด์นั้นเชื่อมต่อเข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งแนวทางของจุดยืนของแบรนด์หรือสินค้าหลักๆ คือ แบรนด์หรือสินค้านั้นมีอะไรที่ชัดเจนที่สามารถจับต้องได้ (Functional) เช่น กระดาษ
ดั๊บเบิ้ล เอ ที่ขายคุณภาพ เป็นกระดาษที่พรินต์แล้วกระดาษไม่ติด จุดยืนนี้ ทำให้ผู้บริโภคจำได้ และเป็นจุดยืนที่ผู้บริโภคสามารถจับต้องได้จริง ส่วนแบรนด์หรือสินค้าที่ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน ไม่สามารถจับต้องได้ อาจต้องหา Emotional มาเป็นจุดขาย เช่น ยาสีฟันใกล้ชิด ที่ขายเรื่องความขาวของฟัน นั่นก็เป็นขาย Emotional อย่างหนึ่ง
จากผลงานวิจัย และการประยุกต์ใช้กับการตลาด แสดงให้เห็นว่า การสร้างแบรนด์และการวางกลยุทธ์การตลาดในปัจจุบัน ต้องให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ของผู้ผู้บริโภคมากขึ้น โดยการตลาดและไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคต้องไปด้วยกัน โดยงานวิจัย คือ ตัวช่วยสำคัญ ที่ทำให้นักการตลาด สามารถจับวางสินค้าลงไปหาคนในแต่ละกลุ่มได้อย่างชัดเจน ทำให้การ Segmentation ของสินค้าแม่นยำมากขึ้นนั่นเอง
จาก http://www.thannews.th.com/detialNews.php?id=M2221712&issue=2267
28 January 2008
คนโสด 10 จำพวก
คนโสดประเภทนี้ชื่อก็บอกอยู่ว่าเป็นคนชอบเพ้อ ชอบฝัน ชีวิตเหมือนอยู่ในเทพนิยาย ตลอดเวลา ได้แต่เฝ้ารอคอยว่าวันหนึ่งจะมีเจ้าชาย หรือเจ้าหญิง มารับไปอยู่ในปราสาท คนโสดในกลุ่มนี้มักเป็นคนช่างเลือก และหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง จนบางครั้งลืมมองไปว่าคนอื่นเขาก็อยากเลือกสิ่งที่ดี ที่สุดให้ตัวเองเหมือนกันคนพวกนี้เหมาะที่จะอยู่ในโลกของความฝันมากกว่าโลกของ ความเป็นจริงเพราะว่าชอบคิดเข้าข้างตัวเอง เพ้อฝันไปเรื่อย ไม่มีที่สิ้นสุด คนพวกนี้เลยจัดอยู่ในจำพวกโสดช่างฝันนั่นแหละ เหมาะแล้ว
2. บ้านนี้ไม่มีแมลง (โสดซ่อนกิ๊ก)
คนโสดประเภทนี้ ต้องบอกว่าเป็นคนประเภทโสด แต่ไม่สด พวกนี้เคยมีแฟนหรือเคย มีชีวิตคู่ แล้วต้องกลับมาอยู่เป็นโสด คนโสดประเภทนี้ ถ้าเรามองด้วยตาเปล่าก็จะเหมือนกับคนโสดธรรมดาทั่วไป แต่ถ้าเอากล้องจุลทัศน์มาส่องดูจะเห็นว่าแอบมีกิ๊กซ่ อนอยู่บอกใครก็ไม่ได้เพราะต้องครองสถานภาพโสดทางสังค มเข้าอาการน้ำท่วมปากก็เลยต้องมีคู่แบบหลบซ่อนไปเรื่ อยๆ นี่หละเข้าตำรา โสดซ่อนกิ๊ก
3. ถนนที่ไร้ปลายทาง (โสดป่าเดียวกัน)
คนโสดประเภทนี้ เป็นประเภทไปหลงรักกับพวกผิดฝาผิดตัว ผิดที่ผิดทาง จะว่ากันจริงๆผิดเพศน่าจะตรงกว่า คนพวกนี้ก็จัดอยู่ในพวกคนที่แสนดี เพราะเป็นคนที่เสียสละมากไม่ว่าเขาจะเป็นยังไงก็รัก ทั้งๆ ที่รู้ว่าคนที่ไปรักถูกสาปให้ต้องเป็นแบบนี้ เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะโค่นป่าทั้งป่า ก็คงจะเปลี่ยนให้เขากลับมาชอบเพศตรงข้ามไม่ได้แต่คนโ สดกลุ่มนี้ดูไปแล้วก็น่าอิจฉา เพราะอย่างน้อยก็ยังมีความรักหล่อเลี้ยง ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้แต่ก็ยินดี เรียกได้ว่าเป็นพวกโสดไม่มีที่สิ้นสุด ดีเลิศประเสริฐแท้
4. มันเป็นเรื่องของรอยกงเกวียน (โสดภาคบังคับ)
คนโสดประเภทนี้ไม่ได้มีความอยากอยู่เป็นโสดแม้แต่น้อ ย แต่จำเป็นต้องอยู่เป็นโสดเพราะถูกคนที่มีอิทธิพลต่อช ีวิต หรือจะเรียกว่าผู้มีพระคุณ ตั้งกฎเกณฑ์บังคับให้ต้องอยู่เป็นโสด ถึงแม้ว่าจะพยายามค้นหาและไขว่คว้า หรือจะเอาชนะอย่างไร ก็ไม่อาจจะพ้นจากความโสดได้ จนแล้วจนรอดก็ต้องถูกบังคับให้กลับมาเป็นโสด เหมือนเดิม เฮ้อช่างน่าสงสารจริงๆ
5. กว่าจะถึงเส้นแพ้ (โสดรอด้ายยยย…)
"ไม่เป็นไรรอด้ายยย" เป็นคำพูดติดปากของคนโสดกลุ่มนี้ คนพวกนี้มักพูดว่าไม่เรียกร้อง ไม่ต้องการ ยินดีที่จะมอบความรักไม่หวังผลตอบแทนและก็พร้อมที่จะ เป็นแต่ผู้ให้ เพียงอย่างเดียว จะว่ากันง่ายๆ ก็ไปรักคนที่มีเจ้าของ แล้วก็คิดว่าวันหนึ่งเขาจะทิ้งคนรักของเขามากหาตัวเอ งเพราะความดีที่ทำให้จึงได้แต่พร่ำว่า รอได้ รอได้ มันก็เลยต้องอยู่เป็นโสดเพราะว่ายังไง ก็…รอได้ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ตาม แต่่ถ้ามี ความสุขล่ะก็เอาเห๊อะ
6. คนรักช้าง (ทำเป็นโสด)
คนโสดพวกนี้มักจะบอกกับใครๆ ว่าตัวเองโสดอยู่ตลอดเวลา (ทั้งๆ ที่จริงๆ ไม่โสด) อันนี้จะคล้ายๆ กับโสดซ่อนกิ๊ก และก็แฉลบไปโดนกับโสดภาคบังคับอยู่นิดหน่อยเพียงแต่ว ่าที่เขาทำก็ด้วยหน้าที่ ทำให้ต้องอยู่เป็นโสด คนพวกนี้จัดเป็นคนโสด เฉพาะกลุ่มสักหน่อย เพราะจะเป็นคนที่จัดอยู่ในประเภทคนของประชาชน มีคนมามอบความรักมากมายแต่ว่าไม่สามารถมีคนรักเป็นขอ งตนเองได้เพราะกลัวว่าตัวเองจะไม่เป็นที่ยอมรับและก็ต้องมาทำเป็น โสด นี่แหละ เหนื่อยหน่อยนะแต่ถ้าชอบก็เอา
7. แต่งกับความโสด (โสดตัวกินไข่ โสดปลาไหลกินน้ำแกง)
คนโสดประเภทนี้มักมีพฤติกรรมที่เกลียดเพศตรงข้ามจนออ กหน้าออกตา อาจจะด้วย อยู่มานานแล้วไม่มีใครสนใจสักที เลยทำเป็นเกลียด ขยะแขยง จริง ๆ แล้วกลัวเสียฟอร์ม หรือไม่ก็อยากมี…แต่ก็กลัวหรือคิดอีกที อาจจะเคยผิดหวังอย่างแรงทำให้เกลียดเพศตรงข้ามไปเลย แต่ในใจลึกๆ ของคนโสดประเภทนี้ อยากมีคู่มากที่สุด แต่ก็แสดงออกมาในทางตรงกันข้าม เข้าตำรา โบราณที่ว่า เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง เลยต้องอยู่แบบ โสดตัวกินไข่ เพราะคนที่จะเข้ามาก็กลัวคนพวกนี้เหมือนกัน เป็นไงหละเลยโสดเลยเห็นมั้ย (บอกแล้ว)
8. เหมือนดอกไม้ (โสดเสเพลย์ (โสดสราณรมณ์))
คนพวกนี้มักจะรักอิสระ ตามหาความรักและตัวตนไปเรื่อยๆ ไม่ชอบการผูกมัด ยึดติดไม่ยอมลงเอยกับใคร และไม่อยากผูกพันธ์ คนพวกนี้ถือว่าความรักกับเซ็กส์เป็นเรื่องเดียวกัน ก็เลยค้นหาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอกับคนที่เข้ากันได้จริงๆ แต่คนพวก นี้คงจะลืมไปว่า ไม่มีใครที่จะสมบูรณ์พร้อมไปซะทุกอย่าง มัวแต่ค้น และหาไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่เจอก็อยู่โสดซะดีกว่า จะว่าไปคนโสดพวกนี้ ก็มีความสุขดีที่จะอยู่เป็นโสดนะ เลือกไปเรื่อยเลย
9. ข้าวฟ่างอินเตอร์เน็ต (โสดไม้ไส้ระกำ)
คนโสดพวกนี้ เป็นพวกไม่มีหัวจิต หัวใจ ไม่เคยรักใครนอกจากตัวเอง คนพวกนี้บางทีก็บริหารเสน่ห์ ให้คนมารัก ทั้งที่ตัวเองไม่ได้คิดอะไร ไม่เรียกว่าใจไม้ ใจหิน ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี ส่วนใหญ่คนโสดพวกนี้จะมีหน้าตาเป็นอาวุธ ใครเผลอไปรักเข้าก็ต้องมานั่งเศร้า ตกอยู่ในสภาวะโสดช้ำระกำใจ เพราะไปรักคนที่ไม่มีหัวใจ นี่แหละพวกโสดไม้ไส้ระกำ
10. ยากยิ่งสิ่งเดียว (โสดปอด ปอด)
คนโสดพวกนี้มักจะหลงรักเพื่อนตัวเอง แต่ว่าไม่กล้าบอกเพราะกลัวว่าจะเสียความเป็นเพื่อนไป เอาแต่ลังเล จดๆ จ้องๆ ไม่กล้าอยู่นั่นแหละ ได้แต่แอบรัก แอบมอง แอบหวังดีแถมไล่ให้ไปรักคนอื่นก็ไม่ไป จะให้พูดก็ไม่ยอมเหมือนกัน กลัวไปหมด เฮ้อ! ใจปลาซิวแท้ ๆ แบบนี้ไง ถึงได้เรียกว่าโสด ปอด ปอด
อ้างอิง : http://www.notebookspec.com/forum/showthread.php?t=2301
25 January 2008
50 ขอดีของคนโสด
1. มีเวลาทำอย่างอื่นนอกจากดูหนัง คุยโทรศัพท์ งอน ง้อ
2. มีเวลาอยู่ กับเพื่อนมากขึ้น
3. กลับบ้านดึกก็ได้ไม่ต้องโทรรายงานใคร
4. ไม่ ต้องทะเลาะกับใคร ถึงจะไม่สุขมากแต่ก็ไม่ทุกข์แล้วกัน
5. ประหยัดค่าใช้ จ่าย แบบว่าไม่รู้จะไปเที่ยวไหน ไม่ต้องคอยซื้อของขวัญอะไรให้ใคร
6. ร้องเพลงคนไม่มีแฟนของพี่เบิร์ดได้อย่างสะใจ มันในอารมณ์อย่างสุดๆ
7. ไม่ต้องคอยเอาใจคนอื่น
8. ไม่ต้องพบเพื่อนของแฟนที่เราไม่อยาก รู้จัก
9. ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาแย่งแฟนเรา
10. มีคนคอยเป็น ห่วงเยอะ (และคอยถามว่าทำไมไม่มีแฟน)
11. ไม่ต้องคอยหึงหวง ทำให้ สุขภาพจิตดีขึ้นอีกเยอะ
12. ไม่ต้องห่วงว่าเค้าจะสบายดีรึ เปล่า
13. มีเวลาให้ตัวเองเต็มที่
14. ไม่ต้องฟังคำว่า "อนาคตของ เราและรักแท้"
15. ไม่ต้องอกหัก อันนี้สำคัญมาก
16. ไม่ต้องกังวล ว่าวันนี้จะใส่ชุดอะไรดีถึงจะถูกใจเขา
17. ไปหาเพื่อนน่ะแต่งตัวแบบไหน ก้อได้
18. ไม่ต้องคอยเช็ค sms เผื่อว่าเขาส่งมาแล้วยังไม่ได้ส่งกลับ ( เฮ้อออ....เปลืองอ่า)
19. อยากหิ้ว อยากจิก ใครก็ได้ไม่มีคนคอยตาม ประกบ
20. พ่อแม่จะรักเป็นพิเศษเพราะอยู่ติดบ้าน
21. ไม่ต้อง เปลี่ยนตัวเอง เพื่อเอาใจเขา
22. ไม่ต้องรอคำสัญญาที่มันไม่เป็นความ จริง
23. ไม่ต้องคิดมาก
24. มีทางเลือกให้กับชีวิตเพิ่ม ขึ้น
25 .....ไม่ต้องร้องไห้.....
26. ได้ทำตามใจตัวเองอย่างเป็น สุขไม่ต้องกังวลถึงเขา
27. คิดถึงคนหลายๆ คนพร้อมกันได้
28. คิด ถึงตัวเองมากขึ้น
29. ชินกับการอยู่บ้าน เพราะไม่มีแฟนชวน เที่ยว
30. เล่นเน็ต เล่นเกมส์ได้นานสะใจ จะคุยกับใครก็ได้ม่ายมีใคร หวง
31. มีเวลาดูละครน้ำเน่าช่อง 7 ช่อง3 ช่อง 5 และ ITVมาก ขึ้น
32. เข้าถึงพระธรรมได้ง่ายขึ้น (แต่ไม่ยักกะทำ)
33. ไม่ต้อง คอยโทรศัพท์
34. ไม่ต้องเปลืองค่าโทรศัพท์โทรหา
35. จะเหล่ใครก็ ไม่มีใครว่าเพราะยังไม่มีใครถูกใจ
36. ไม่ต้องคอยระแวงว่าคนที่เดิน ข้างๆ จะเป็นใคร
37. จะทำอะไรก็ได้
38. ไม่โดนเพื่อนด่าว่า "ลืม เพื่อน"
39. คิดถึงใครก็ได้ที่อยากจะคิด
40. ไม่ต้องโบ๊ะหน้า สวย, หล่อทั้งวัน
41. ไม่ต้องปกปิดด้านชั่วของตัวเอง
42. ไม่ ต้องดัดเสียงให้ไพเราะและฟังดูน่ารัก
43. จะทำอะไรไม่ต้องเกรงใจ แฟน
44. ใครจะจีบก็จีบไปเพราะเรา "ไม่มีแฟน"
45. ร่างกายแข็งแรง เพราะเอาเวลาไปเล่นกีฬา ออกกำลังกาย
46. สามารถคุยกับสาวๆ หนุ่มๆ ที่ สนใจได้โดยไม่รู้สึกผิดเพราะไม่มีแฟน
47. ไม่ต้องร้องเพลงอก หัก
48. ประหยัดนํ้าตาไว้ร้องไห้เรื่องอื่น
49. ไม่ต้องคอยไปรับ ไปส่งใคร
50. ไม่ต้องเสียเวลาเขียนไดอารี่ตอนอกหักหรือตอนถูก ทิ้ง
13 January 2008
ถึงจะเหงา เราก็อยู่ได้
แต่จริง ๆ เวลาโสด เป็นเวลาที่ดีของชีวิตนะคะ มันทำให้รู้ว่า ถึงเราจะเหงา แต่เราก็อยู่ได้
มีน้องคนนึงบอกไว้อย่างนี้
ดีจัง
คติประจำใจ คนโสด
เจอะ คติประจำใจเข้าให้ ใช้ได้เหมือนกันนะ
แม้แผ่นดินไร้ชาย(หญิง)ที่พึงเชย อย่ามีคู่เสียเลยจะดีกว่า
แม้แผ่นดินไร้หญิงที่จริงใจ ขอมีคู่เป็นชายเสียดีกว่า
แต่อันนี้ไม่ใช่โดนใจผมนะคับ ^^ อย่าพึ่งเข้าใจผิด
09 January 2008
ยินดีต้อนรับสู่ชมรมคนโสด
เพราะส่วนตัวเชื่อว่า การจะเป็นคนโสด ก็ต้องมีการวางแผนการใช้ชีวิตเหมือนกันนะ